เทศน์เช้า

เทศน์เช้า

๒๗ ก.ค. ๒๕๕๗

 

เทศน์เช้า วันที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๕๗
พระอาจารย์สงบ มนสฺสนฺโต

ณ วัดป่าสันติพุทธาราม (วัดป่าเขาแดงใหญ่) ต.หนองกวาง อ.โพธาราม จ.ราชบุรี

 

อ้าว! เราตั้งใจฟังธรรมะ เวลาฟังธรรมๆ ฟังธรรมเขาบอกห้ามพูดเรื่องโลก เรื่องโลกมันเป็นเรื่องของโลกเขา โลกธรรม ธรรมต้องเหนือโลก ธรรมต้องอยู่ส่วนธรรม โลกต้องอยู่ส่วนโลก แต่เวลาเราเกิดมา เราเกิดมาในโลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเกิดมากับโลก แต่เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ารื้อค้นขึ้นมาๆ สัจธรรมอันนั้น ถ้าสัจธรรมอันนั้น แล้วถ้าคนที่มีคุณธรรม สัจธรรมอันนั้นมันได้มาแสนทุกข์แสนยาก เพราะองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้มาเพราะเหตุใด ได้มาเพราะสร้างอำนาจวาสนามา ได้มาเพราะบุพเพนิวาสานุสติญาณ นี่สร้างบุญกุศลมาไง ได้สร้างบุญกุศลมา ได้ตัดแต่งพันธุกรรมมา จิตใจได้พัฒนามา เห็นไหม แต่ละภพแต่ละชาติได้ทำคุณงามความดีมาต่อเนื่องๆ มา พอต่อเนื่องมาจิตใจมันก็เข้มแข็ง จิตใจมันก็แข็งแรงของมัน จะเจอสิ่งใดกระทบมันก็ไม่ไหลไปกับโลก

ฉะนั้น เวลาบอกสิ่งที่ได้มา ได้มาจากอะไร? ได้มาจากอำนาจวาสนาอันนั้นหนึ่ง แล้วได้มาจากการกระทำหนึ่ง ได้มาจากการกระทำ ถ้าองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไม่ประพฤติปฏิบัติขึ้นมา ไม่รื้อค้นขึ้นมาจะเป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าได้ไหม เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าไปศึกษากับเจ้าลัทธิต่างๆ ทุกคนก็ยกย่องสรรเสริญเพราะเป็นคนดี คนดี คนใฝ่เรียน คนศึกษา คนตั้งใจ คนทำคุณงามความดีทั้งนั้นแหละ แล้วทำคุณงามความดีจนสุดความสามารถของอาจารย์ อุทกดาบส อาฬารดาบสบอกว่า “เรามีความรู้แค่นี้ มีความรู้เสมอเรา” คือมีความรู้เสมออาจารย์ มีความรู้เสมอเลย แต่อาจารย์สำคัญตนว่าเป็นพระอรหันต์ เป็นศาสดา

แต่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเจ้าชายสิทธัตถะบอกไม่ใช่ ไม่ใช่เพราะอะไร เพราะว่าได้สร้างอำนาจวาสนาอันนั้นมาไง อำนาจวาสนา พันธุกรรมของจิตมันมีวุฒิภาวะ ถ้ามันไม่ใช่ๆ ไม่ใช่เพราะอะไร เพราะเราสงสัย ไม่ใช่เพราะมันรื้อถอนอวิชชาในใจเราไม่ได้ ถ้ามันรื้อถอนอวิชชาไม่ได้ มันยังมืดบอดอยู่ใช่ไหม คนยังมืดบอด คนยังสงสัย คนยังไม่หูตาสว่างมันจะเดินไปไหนล่ะ มันก็ลูบๆ คลำๆ ไปใช่ไหม นี่ถึงไม่เชื่อ ถึงกลับมารื้อค้นเอง มากระทำเอง มากระทำเองในใจขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเอง

เวลาถอนออกไป บุพเพนิวาสานุสติญาณ จุตูปปาตญาณ โลกเขามีกันอยู่ บุพเพนิวาสานุสติญาณ อดีตชาติ จุตูปปาตญาณ อนาคต รู้รอบขอบชิดหมดเลย แล้วมันก็ยังไป เห็นไหม อาสวักขยญาณ คนที่ไป ตัวที่ไป

เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกโมฆราช “เธอจงมองโลกนี้เป็นความว่าง เธอจงมองโลกนี้เป็นความว่าง แล้วกลับมาถอนอัตตานุทิฏฐิ กลับมาถอนไอ้ตัวที่ดูเขา”

แต่เวลาเราประพฤติปฏิบัติ “โลกนี้ว่าง ทุกสิ่งเป็นความว่างๆ”...แล้วความว่างใครเป็นคนรู้ล่ะ เวลาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอกว่า “เธอจงมองโลกนี้เป็นความว่าง” เวลาสอนโมฆราช “เธอจงมองโลกนี้เป็นสักแต่ว่าโลก” สักแต่ว่าก็อยู่อย่างนั้นแหละ เรามองสักแต่ว่า เราเข้าใจใช่ไหม เวลาเข้าใจแล้วทำอย่างไรต่อ “เธอจงมองโลกนี้สักแต่ว่า” แล้วใครเป็นคนมองล่ะ ใครเป็นคนสักแต่ว่าล่ะ ใครเป็นคนรู้ล่ะ “ให้กลับมาถอนอัตตานุทิฏฐิ” ถอนภวาสวะ ถอนภพ ถอนชาติอันนี้ ถ้าคนเป็นจะเป็นแบบนั้น เห็นไหม

เวลาโลกเจริญๆ เดี๋ยวนี้กำลังเจริญนะ ทางโลกบอกว่าเดี๋ยวนี้เด็กมีการศึกษาภาษาเดียวไม่พอ ต้อง ๒ ภาษา ๓ ภาษา ต้องมีความฉลาด ภาษามันจะเป็นสื่อ ภาษาจะเป็นโอกาส ภาษาต่างๆ เขาต้องศึกษาภาษา นี่ภาษาต่างๆ ภาษาก็เป็นสมมุติ...ใช่ มันเป็นทางโลก มันเป็นประโยชน์จริงๆ นะ ดูสิ เมืองไทยเราอ่อนด้อยในภาษาอังกฤษ ดูสิ ดูชาติที่เขาเข้มแข็งภาษาอังกฤษ โอกาสทางธุรกิจของเขากว้างขวางกว่าเราเยอะแยะไปหมดเลย นั่นคือโอกาสทางโลก แต่ผู้ที่เขามีการศึกษานะ เขาดูภาษากาย พฤติกรรมเวลามันแสดงออก จิตใจมันพอใจหรือไม่พอใจ มันแสดงออกมาทางภาษากาย แล้วกายมันเป็นภาษาได้ไหม ซากศพมันเป็นภาษาได้ไหม มันเป็นท่อนฟืน ภาษากายมันก็เกิดมาจากภาษาใจนั่นล่ะ ใจมันทุกข์ ใจมันยาก ใจมันไม่พอใจ แต่พูดไม่ได้ มันก็แสดงออกในกิริยาของมัน นี่ภาษากายเขามองออกนะ

ฉะนั้น เวลาเราจะประพฤติปฏิบัติ เราต้องมีภาษาใจ ภาษาใจ เวลาเราศึกษาๆ ศึกษาภาษาส่งออกไง ภาษาของโลกไง ส่งออกไปเพื่อการสื่อสารของสังคม มันเป็นการสื่อสารของสังคม แล้วเวลาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทวนกระแส ปัญญาขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทวนกระแส ทวนกระแส

ดูปลาสิ มันจะวางไข่มันต้องขึ้นไปต้นน้ำ มันไปวางไข่ของมันที่ต้นน้ำ เพราะน้ำสะอาด น้ำบริสุทธิ์ของมัน จิตใจของเราๆ ความคิดมันมาจากไหน ไอ้ภาษามันเกิดมาจากใคร ถ้าไม่มีความคิด ไม่มีสัญญา ไม่มีการจำ มันจะเข้าใจเรื่องภาษานั้นไหม ถ้าคนได้ ๕ ภาษา ๑๐ ภาษา เราก็ว่าเขาก็มีประโยชน์กับเขา เขาก็เป็นคนเก่งคนหนึ่ง แต่คนเก่งคนนั้นทุกข์ไหม ทุกข์หรือเปล่า

ถ้ามันเป็นความทุกข์ นี่ภาษาธรรมๆ ไง ให้ธรรมเป็นทานๆ ให้ธรรมเป็นทานคือให้เข้าใจตัวเอง ให้เข้าใจตัวเอง ให้เข้าใจถึงสุข-ทุกข์ของตัวเอง มันเรื่องของสังคม เรื่องของโลก เราเป็นสัตว์สังคม เราอยู่ในสังคม ดูสิ การตลาดเขาต้องไปหาโอกาสของเขา เขาต้องเข้าสังคมทั้งนั้นแหละ เพื่อทำธุรกิจของเขา นั่นเป็นเรื่องของสังคม เพื่อเป็นการใช้จ่าย ในเรื่องปัจจัยเครื่องอาศัย ทุกคนต้องพึ่งพาอาศัยกัน มันเป็นการตลาดขึ้นมา แต่ทำการตลาด เราก็ทำการตลาด

ดูพระสิ พระบิณฑบาต บิณฑบาตมาจากใคร? ก็บิณฑบาตมาจากฆราวาสญาติโยม ฆราวาสญาติโยมเขาทำมาหากินของเขา เขาไม่มีโอกาสประพฤติปฏิบัติของเขา เขาอยากสร้างอำนาจวาสนาบารมีของเขา ตื่นเช้าขึ้นมา เขาหุงหาอาหารของเขา ข้าวปากหม้อๆ ใส่ผู้ประพฤติพรหมจรรย์ไปก่อน เพื่ออะไร? เพื่อประโยชน์กับเราๆ

นี่ประโยชน์ ฟังธรรมๆ ถ้าใจเป็นธรรมมันคิดได้ พอมันคิดได้ สิ่งที่ทำ ทำเพื่อประโยชน์กับเขา เขาขวนขวายในทางโลก เขาอยากได้บุญกุศลของเขาเพื่อโอกาสของเขา เพื่อจิตใจที่มีความสงบระงับของเขา ได้เห็นสมณะ เช้าขึ้นมาได้เห็นสมณะ ได้เห็นภิกษุเดินมาบิณฑบาต “ท่านก็เป็นมนุษย์คนหนึ่ง ทำไมท่านไม่ห่วงอาลัยอาวรณ์ชีวิตของท่านเลยหรือ ท่านจะไม่มีความมั่นคงของชีวิตเลยหรือ แก่เฒ่าขึ้นมาใครจะดูแลท่าน ไอ้เรานี่เป็นห่วงไง เกิดมาต้องมีการศึกษา ต้องมีปัญญา ปัญญาก็ต้องทำมาหากิน”...ไฟทั้งนั้นแหละเอามาสุมตัว ไฟทั้งนั้นแหละ แต่ประสบความสำเร็จทางโลก นี่ภาษาโลก

ถ้าเป็นภาษาธรรม เราจะประพฤติปฏิบัติธรรม ศึกษามาปัญญามหาศาล ศึกษาธรรมขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเข้าใจไปหมดเลย รู้ทุกอย่าง ดูสิ เวลาหมอเขารักษาโรค เขาใช้ยารักษาคนไข้ เขาใช้ยารักษาคนไข้ได้ เราก็อ่านออกหมดแหละ ยาฉลากยาเรารู้หมดแหละ แต่เราใช้ไม่เป็น ใช้ไม่ได้ มันแก้โรคอะไรล่ะ ใช้ยาอะไรล่ะ โรคเขาใช้ยาอะไร

นี่ก็เหมือนกัน ศึกษาธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ศึกษามาทั้งนั้นแหละ มันเป็นทางทฤษฎี เป็นทางวิชาการ มันบอกมันจะผิดไหม? ไม่ผิด เพราะอะไร เพราะปัจจุบันนี้ต้องได้ ๕ ภาษา ๑๐ ภาษา คนนั้นจะมีโอกาส คนนั้นจะเป็นคนฉลาด นี่ก็เหมือนกัน การศึกษามันผิดตรงไหน? มันไม่ผิด แต่มันเป็นโลก คำว่า “โลก” เราเกิดมา เราเป็นโลก “นี่พูดธรรมะต้องพูดเรื่องธรรมะนะ อย่าพูดเรื่องโลก ห้ามพูดเรื่องโลกนะ” แล้วคนมาจากไหนล่ะ ถ้ามันไม่เกิดบนโลก เกิดบนโลก

รู้แจ้งโลกนอกและโลกใน

โลกนอก โลกนอกคือโลกของสังคมโลกไง เราต้องเข้าใจเขา เราไม่เข้าใจ เราอยู่กับโลกอย่างไร เราเกิดมาเป็นเหยื่อใช่ไหม เราเกิดมาเราสร้างเนื้อสร้างตัวเราเองไม่ได้ใช่ไหม เราเกิดมา เราพึ่งตัวเราเองไม่ได้เลยหรือ เราต้องพึ่งเขาตลอดไปใช่ไหม นี่โลกนอก แล้วโลกในล่ะ โลกใน สิ่งที่เราหามา เราก็หามาเพื่อดำรงชีวิต ในเมื่อผลของวัฏฏะมันต้องเกิดอยู่แล้ว จิตมันต้องเกิดอยู่แล้ว องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบุพเพนิวาสานุสติญาณ ถ้าไม่จบสิ้นต้องจุตูปปาตญาณ ต้องไปอยู่แล้ว มันต้องไปอยู่แล้ว

ฉะนั้น ผลของวัฏฏะ การเวียนว่ายตายเกิดมันมีของมันอยู่แล้ว เกิดมาเป็นมนุษย์ เราก็พอใจสถานะของความเป็นมนุษย์นี้ เราพอใจไง ถ้าคนไม่พอใจ “โลกนี้มีเพราะมีเรา ก็ทำลายเลย ฆ่าตัวตายไปให้หมด” มันหมดไหมล่ะ ฆ่าความรู้สึกไม่ได้หรอก ไม่มีใครเคยฆ่าจิตวิญญาณได้ ไม่มี ไม่มี

แต่ธรรมะขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามากลั่นกรอง กลั่นกรอง ดูแล พัฒนามัน พัฒนาหัวใจของสัตว์โลก องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอนคนมีกิเลสไง สอนสัตว์ สัตตะผู้ข้อง ผู้เกี่ยว ผู้ข้อง ผู้ยึด ผู้หน่วง ผู้เหนี่ยว ผู้รั้งไว้ สั่งสอนให้มีธรรมโอสถ แล้วเราก็เกิดมากับโลก เราก็อยู่กับโลก แต่ถ้าเรามีสติปัญญานะ เราไม่เดือดร้อนไปกับเขาเกินไปนัก แต่มันไม่เดือดร้อนไม่ได้หรอก เพราะในสโมสรสันนิบาต ทุกดวงใจว้าเหว่ ทุกดวงใจมีอวิชชา ทุกดวงใจที่เกิดเพราะมีอวิชชา

อวิชชาคือความมืดบอดของใจ เพราะความมืดบอดของใจมันถึงหมุนไป มันถึงหมุนไป มันถึงเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ คนที่มันขาดตกบกพร่องอยู่ มันจะเข้าใจเรื่องสัจจะความจริง มันเป็นไปไม่ได้ ถ้ามันเป็นไปไม่ได้ คนที่พร่องอยู่ คนที่ขาดอยู่ มันจะทุกข์ไหม? ทุกข์แน่นอน ในสโมสรสันนิบาต ในวัฏฏะ จิตที่เวียนว่ายตายเกิดทุกข์ทั้งหมด เพียงแต่จะพูดหรือไม่พูดเท่านั้นแหละ ถ้าพูดออกมา พูดถึงความทุกข์ออกมา

ฉะนั้น ถ้ามันมีความทุกข์อยู่ เราเกิดมาเป็นมนุษย์ เกิดมาพบพระพุทธศาสนา ถ้ามีความทุกข์ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าบอก นี่มันเป็นความจริง มันเป็นอริยสัจไง

เขาบอกว่าพระพุทธศาสนาสอนทุกขนิยม...ไม่ใช่ สอนสัจนิยม มันเป็นความจริง แต่คนที่ไม่ยอมรับความจริงต่างหากพยายามปฏิเสธมันว่า “ฉันไม่ทุกข์ๆ ฉันมีทุกอย่างพรั่งพร้อม ฉันมีทุกอย่างพร้อม” เวลามันจะตายน่ะมันทุกข์ เวลามันตายไป ตายไปไหน ตายไปเพราะอะไร เพราะสิ่งที่ได้ผลประโยชน์อยู่นี่ เพราะผลของวัฏฏะ เพราะมีบุญกุศลขึ้นมาถึงได้เกิดเป็นมนุษย์ มนุษย์มีอาการ ๓๒ ครบสมบูรณ์ก็เป็นมนุษย์ที่สมบูรณ์ มนุษย์ที่เกิดมาพิการต่างๆ เขาก็เกิดด้วยเวรด้วยกรรมของเขา

เขาก็บอกว่าอันนี้พุทธศาสนาก็ผลักอีกแหละ ให้กรรม ให้เวร

เวรกรรมมันคืออะไรล่ะ เวรกรรมมันไม่มหัศจรรย์อะไรเลย เวรกรรมก็คือการกระทำไง เวรกรรมก็การกระทำมานี่แหละ กรรมดี-กรรมชั่ว บอกว่าเป็นเวรเป็นกรรมก็ผลักให้คนอื่นเลย กรรมเป็นของคนอื่น...ไม่ใช่ กรรมเพราะจิตนี้ทำ มโนกรรม ไม่มีความระลึกรู้ ไม่มีความนึกคิด ไม่มีเจตนา ใครเป็นคนทำ แล้วทำขึ้นมาแล้วมันจะไม่มีสิ่งใดรับผิดชอบมันใช่ไหม สิ่งที่ทำมา

เวลาเขาทำผิดทางโลกเขายังสืบหาผู้กระทำความผิดได้ เพราะการกระทำมันต้องมีร่องมีรอยของมัน แล้วจิตเป็นคนกระทำ จิตนี้เป็นคนคิด จิตนี้เป็นคนหากุศล-อกุศลมาใส่ตัวมัน แล้วจะผลักให้คนอื่นได้อย่างไร ก็มันเป็นคนนึกคิดขึ้นมาจากใจ ผลก็ตกที่นั่นน่ะ จะรู้หรือไม่รู้มันก็เป็นกรรมทั้งนั้นแหละ กรรมอันนั้นเป็นอันนั้น กรรมอันนั้นเวลามันหมุนเวียนไปในวัฏฏะมันก็มาเกิดเป็นอย่างนี้ไง ถ้ามาเกิดเป็นอย่างนี้ สิ่งที่ทำมา สิ่งที่ได้มา เราถึงความพอใจความเป็นมนุษย์ไง

เพราะเกิดเป็นมนุษย์มีร่างกายกับจิตใจ เทวดา อินทร์ พรหมเขามีแต่กายทิพย์ เขามีใจกับกายทิพย์ กายทิพย์มันเป็นทิพย์สมบัติ ทิพย์สมบัติมันมีความสมบูรณ์ตลอดจนกว่าจะหมดอายุขัย แต่ถ้าเป็นมนุษย์มันมีร่างกาย ร่างกายต้องขับต้องถ่าย ต้องอยู่ ต้องกิน ต้องหามา นี่มันเตือนเราเอง เราถึงจะต้องหาอาหารอยู่ตลอดเวลาไง เพราะการหาอาหารนั่นน่ะเป็นปัจจัยเครื่องอาศัย เพราะการหาอาหารนั้นเป็นเหตุแห่งทุกข์ เหตุแห่งทุกข์เพราะมันทุกข์มันร้อนไง

เวลาวาระ เห็นไหม ดูสิ เวลาภัยพิบัติมา อาหารอยู่ที่ไหน เก็บไว้ที่ไหนมันก็ต้องเสื่อม มันก็โดนทำลายไปหมดแหละ นี่เวลากรรมมันให้ผลๆ แต่เวลามันมีบุญกุศลนะ ประสบความสำเร็จ ทำสิ่งใดก็ประสบความสำเร็จ อันนั้นคืออะไรล่ะ นี่ผลของกรรมๆ ไง

แล้วกรรม “โอ๋ย! กรรมนี้มันมหัศจรรย์ กรรมนี้ อู้ฮู! มันสุดยอด ต้องเคารพ”...ไม่ใช่ กรรมคือการกระทำ แต่การกระทำนี้เคยกระทำมาแต่อดีต คนเราไปแก้ประวัติศาสตร์ไม่ได้ อดีตแก้ไม่ได้ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเวลาเกิดมาแล้ว สิ่งที่ประสบมันเป็นปัจจุบัน

ฉะนั้น ให้ยอมรับสิ่งนี้ ให้ยอมรับนะ ให้ยอมรับสิ่งนี้ ยอมรับว่ามันเป็นจริงอย่างนี้ แล้วมีสติปัญญาไง มีสติปัญญาเพราะการบีบคั้นของร่างกาย ร่างกายมันชราคร่ำคร่าไปแน่นอน หายใจเข้าแล้วไม่หายใจออกก็ตาย คนเรามีการพลัดพรากเป็นที่สุด ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด ชีวิตนี้มีการดับไปเป็นที่สุด ในเมื่อมันเกิดขึ้นมาแล้วมันต้องดับไปเป็นที่สุด แล้วจะหาสิ่งใดล่ะ

ฉะนั้น การหา การดูแลของเรา การกระทำของเราทางโลก เราก็หามาเพื่อปัจจัยเครื่องอาศัยเพื่อดำรงชีวิต แต่เราดำรงชีวิตแบบโลกก็ดำรงชีวิตแบบผู้ที่ประมาท ผู้ที่ใช้ชีวิตฟุ่มเฟือย

เขาบอก “ไม่ใช่ฟุ่มเฟือย นี่มันเป็นประสบการณ์ เที่ยวรอบโลก เที่ยวรอบจักรวาล เพื่อมีปัญญา เพื่อให้ปัญญามันได้กว้างขวางไง”...ไม่มีวันจบสิ้น ชีวิตนี้มีการพลัดพรากเป็นที่สุด แต่จุดเริ่มต้น จุดเริ่มต้นของชีวิต ปฏิสนธิจิต กำเนิด ๔ เกิดในไข่ เกิดในน้ำครำ เกิดในโอปปาติกะ เกิดในครรภ์ กำเนิด ๔ ที่ไหนมีการเกิด ที่นั่นต้องมีการดับ ที่ไหนมีการเกิด ที่นั่นต้องมีการสุดสิ้นมันไป

ฉะนั้น เวลาเราเกิดมาเป็นมนุษย์ ถ้าเรามีสติปัญญาอย่างนี้เราจะค้นคว้า เพราะมันเป็นโอกาสไง เทวดา อินทร์ พรหม เขาเป็นทิพย์ของเขา เขาถึงไม่มีโอกาสเหมือนเรา โอกาสเหมือนเราเพราะเราเห็นชัดๆ ทุกข์มันชัดๆ มันเป็นสัจจะเป็นความจริง เราถึงมาศึกษาธรรมะ ฟังธรรมะ

ฟังธรรมะก็เตือนตัวเราเอง ทำบุญกุศลก็เพื่อจิตใจเป็นสาธารณะ สาธารณะหมายความว่าอย่างไร? ไม่เอาเปรียบเขาไง เราไม่เอาเปรียบ เราเสียสละเพื่อความดีงามไง ถ้าความดีงามมันยอมรับไง ยอมรับมันก็ฟังเหตุผลต่างๆ ได้

นี่กิเลสมันอยู่ในใจของเรา “ทำไมต้องฟังธรรม ฉันปัญญาสุดขอบฟ้า ฉันมีปัญญามาก ทำไมต้องฟังธรรม”...มีปัญญามากขนาดไหนมันก็ประมาทกับตัวมันเอง มันไม่เข้าใจตัวมันเองหรอก

แต่ถ้าเมื่อใดตั้งสติ ทวนกระแสกลับ ความรู้สึกที่ส่งออกทั้งหมด กำหนดระลึกถึงพุทธะ พุทโธ ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน กำหนดรู้สึกตัวของมันเอง รู้สึกตัวถึงธาตุรู้ พลังงานที่มันมีอยู่ พุทโธคือตัวพลังงานที่มีอยู่ ถ้าพลังงานที่มีอยู่ พุทโธๆๆ มันจะหยุดยั้ง แล้วมันจะทวนกระแสกลับเข้าไปสู่ที่พลังงานนั้น ถ้ามันเข้าไปสู่ที่พลังงานนั้นได้ นั่นคือสัมมาสมาธิ นั่นล่ะคือปฏิสนธิจิต นั่นล่ะคือตัวภพ แล้วฝึกหัดใช้ปัญญา ฝึกหัดใช้ภาวนามยปัญญา องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ที่นี่ ครูบาอาจารย์ที่ท่านสำเร็จ ท่านสำเร็จที่นี่

ฉะนั้น สิ่งที่ทำบุญกุศลมา ทำมาเป็นทาน ศีล ภาวนา จะทำบุญกุศลมากน้อยขนาดไหน เวลาถึงที่สุดแห่งทุกข์มันต้องมีการภาวนาทั้งนั้น เพราะในสมัยพุทธกาล สามเณร ๗ ขวบเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์เป็นเพราะอะไรล่ะ พระอรหันต์เป็นเพราะว่าเขาแต่งตั้งใช่ไหม พระอรหันต์เป็นเพราะศาสนาตั้งให้ใช่ไหม พระอรหันต์เพราะเราเป็นชาวพุทธใช่ไหม

พระอรหันต์จะเกิดขึ้นจากมรรคญาณ พระอรหันต์จะเกิดจากงานชอบ เพียรชอบ ระลึกชอบ สติชอบ ปัญญาชอบ ความชอบธรรมอันนั้น ธรรมจักร จักรที่ได้เคลื่อนออกไปด้วยความวิริยอุตสาหะของเรา มันจะทวนกระแสกลับมา นี่ไง ที่ว่าทวนกระแสๆ กลับ มรรคญาณมันจะเข้ามาชำระล้างไง ชำระล้างที่ไหน? ชำระล้างที่ต้นเหตุ ชำระล้างที่ปฏิสนธิจิต ปฏิสนธิจิตที่เวียนว่ายตายเกิด ชำระล้างที่นี่ ถ้าชำระล้างที่นี่ มันเป็นความมหัศจรรย์เกิดที่นี่

ฟังธรรม ฟังธรรมเพื่อระลึกรู้ถึงประโยชน์ของหัวใจของเรา ชีวิตนี้เราหาทรัพย์สมบัติมา หาสิ่งใดมาเราว่าเป็นของของเรา เป็นเครื่องอาศัยๆ ของอาศัยไง ของอาศัย อาศัยชีวิตนี้ให้อยู่ได้เท่านั้นแหละ สิ่งที่จะเป็นสมบัติของเราจริงๆ คือดีและชั่ว กรรมดีและกรรมชั่ว นี่คุณงามความดีของเรา

ถ้าถึงที่สุด พ้นจากดีและชั่วไป เวลาจะพ้นจากดีและชั่วมันพ้นจากอะไรล่ะ? พ้นจากการกระทำ พ้นจากความเพียร พ้นจากความดี อาศัยความดีเป็นเครื่องส่งเสริมขึ้นไป จนถึงที่สุดมันถอดถอนทั้งหมด มันสำรอก มันคายออกทั้งหมด แล้วจะเห็นความมหัศจรรย์ของใจ ความมหัศจรรย์ของใจนะ

เห็นไหม คนที่ทำสมาธิได้นะ ขณะที่มันเป็นสมาธิ จิตใจมันเบา เดินไปเดินมาเหมือนมันล่องมันลอยไป มันเบา ร่างกายน้ำหนักเท่าไร คนน้ำหนักร้อยกว่ากิโล หรือเกือบๆ ร้อยกิโลกรัม เวลาจิตมันเบาๆ มันเหมือนปุยนุ่น ของที่มีน้ำหนักเป็นร้อยๆ กิโลกรัม มันเคลื่อนไป มันลอยไป แล้วร่างกายมันลอยได้ไหม ธาตุมันลอยได้ไหม สิ่งใดมันลอยได้ไหม...ไม่ใช่

หัวใจ ความเบาของใจ ความมหัศจรรย์ของมัน น้ำหนักของตัวคนเท่าไร เวลาจิตมันสงบแล้วมันเคลื่อนไปมามันเหมือนปุยนุ่น ลอยไปลอยมา มันมีความสุข

เวลาเราทุกข์เรายาก เหนื่อยสายตัวแทบขาด เวลามันเครียด มันบีบคั้นร่างกาย กล้ามเนื้อ มันเครียดไปหมดเลย แต่เป็นสมาธิแล้วจิตใจมันเบา นี่แค่สมาธินะ ยังไม่ใช้ปัญญาอะไรเลย ยังไม่เกิดภาวนามยปัญญาเลย แล้วถ้าเกิดภาวนามยปัญญา ถึงมหัศจรรย์ไง เราจะเห็นความมหัศจรรย์ของใจ ใจมหัศจรรย์ขนาดไหนไง

ฟังธรรมๆ ฟังธรรมเพื่อเตือนตนเอง

องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจะปรินิพพานนะ สั่งภิกษุไว้ “ภิกษุทั้งหลาย เธอจงพิจารณาสังขารด้วยความไม่ประมาทเถิด”

ความประมาทกับชีวิต ความประมาทกับการกระทำ ความประมาท องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเตือนตรงนี้มาก ถ้าเรามีสติคือไม่ประมาท เรามีสติเรามีปัญญา มันจะพ้นจากความประมาท ฉะนั้น เราต้องมีสติระลึกรู้ตัวเราอยู่ตลอดเวลา เพื่อความไม่ประมาทเลินเล่อ เราจะไม่เจออุบัติเหตุ เราจะไม่มีความผิดพลาดของชีวิต เราจะมีปัญญารุ่งเรืองขึ้นไป เพราะเรามีสติปัญญาของเรา เห็นไหม ฟังธรรมๆ ก็เพื่อหัวใจดวงนี้ เอวัง